วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

ต่อ ฟีโนมีน่า ธนญชัย ศรศรีวิชัย

คุณต่อ ธนญชัย ศรศรีวิชัย ผู้กำกับมือหนึ่งของ Phenomena ชายผู้นี้เป็นผู้กำกับโฆษณาที่โด่งดัง หลายต่อ หลายเรื่อง โดยเฉพาะ โฆษณาไทยประกันชีวิต ที่ออกมาแต่ละครั้ง สร้างกระแส Talk of The Town ได้ทุกครั้งไป โฆษณาในแบบซึ้งๆ หรือ แบบฮาๆ คุณต่อ ก็สร้างสรรค์ผลงานออกมาได้อย่างดีเยี่ยม โดยมีรางวัลการันตีในระดับโลก Cannes Lion จากประเทศฝรั่งเศส รางวัลที่นักโฆษณา ถือว่าเป็นรางวัลสูงสุดของโลก ซึ่งคุณต่อได้ขึ้นไปรับรางวัลนี้มาแล้วอย่างนับไม่ถ้วน ไม่เพียงแค่กำกับหนังโฆษณาเท่านั้น เสียงพากย์ที่เป็นเอกลักษณ์ และคุ้นหูยังเป็นที่จดจำของผู้ชมทุกคน



ย้อนกลับเมื่อครั้งอยู่บริษัท สามหน่อ ธนญชัย เป็นกราฟิก ดีไซเนอร์ ก่อนจะถูกดึงมาเป็นจิ๊กซอว์คนสำคัญในฟีโนมีนาในเวลาต่อมา ตอนหนึ่งจากการให้สัมภาษณ์กับนิตยสารอะเดย์ ว่า ธนญชัย บอกว่า เขาต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ในแง่ของโปรดักชั่น เขาไม่เข้าใจกระทั่งคำว่า ฟิล์ม 35 มม. แต่ด้วยความเป็นคนใฝ่รู้และมุ่งมั่น ทำให้เขาใช้เวลาเรียนรู้ไม่นาน ลบคำประมาสได้โดยสิ้นเชิงเมื่อเขาสร้างผลงานจนกลายเป็นผู้กำกับมือดีไม่ใช่ แค่ที่หนึ่งของเมืองไทย แต่เป็นถึงที่หนึ่งของโลก

การจะได้ร่วมงานกับฟีโนมีนา ซึ่งวาง Positioning เป็นโปรดักชั่น เฮาส์ ระดับพรีเมียม ต้องใจป้ำพอที่จะควักกระเป๋าขั้นต่ำ 3.5 ล้านบาท และที่นี่มีผู้กำกับถึง 10 คน ธนญชัย ได้ชื่อว่า เป็น The Most Wanted Director
หนังโฆษณา อย่างแรกคือต้องขายของ แต่ต้องเริ่มต้นจังหวะแรกด้วยการทำให้เขาสนุก ไม่ใช่ทำให้คนดูตกใจ เหมือนเรานั่งอยู่บ้านแล้วมีเซลล์เดินเข้ามาเคาะประตู แล้วเขามาขายของอย่างเดียว เราไม่ต้องการ ไม่ชอบ เราชอบเซลล์ที่ช่างเจรจา ไม่ได้ตั้งท่าจะเอาเงินอย่างเดียว

“หน้าที่ของผมคืออยากขายของให้ลูกค้าด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นกฎต่อไปนี้ ก็คือว่า ต้องไม่ให้สังคมมีปัญหา หนังจะต้องทำให้สังคมดี ขายของได้แล้วต้องขายศีลธรรม อะไรบางอย่างให้กับสังคมบ้าง ขอขายพ่วงนิดนึง ที่ชอบมีดาบวิชัย จากแรงเยอร์ และไทยประกันชีวิตชุดที่เกี่ยวกับพ่อลูก ผมขอบคุณสำหรับคนที่ชม ขอบคุณสำหรับคนที่ด่าว่ามันรุนแรงเกินไป แต่สิ่งที่ดีใจคือ อย่างน้อยเขาดูแล้วเขาคิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ของเขา วัตถุประสงค์คือขายประกันให้ได้ อีกวัตถุประสงค์หนึ่งที่เท่ากันก็คือ ต้องกลับไปกอดพ่อกอดแม่กลับไปหาคนที่เรารัก...แต่ผมบอกก่อนนะที่พูดอย่างนี้ ผมไม่ใช่คนดีอะไรนะ”
ที่มา : http://www.positioningmag.com

โฆษณาของธนญชัยจึงนำเสนอมุมมองที่แปลกใหม่ มีลูกเล่นและอารมณ์ขันที่ไม่เหมือนใคร จึงโดนใจผู้ชมโฆษณาและผู้บริโภค อย่างมาก ทำให้ธนญชัยเป็นที่ต้องการตัวจากเอเจนซี่โฆษณา และเจ้าของผลิตภัณฑ์ตลอดเวลา จนถึงกับบอกว่าอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด ในการทำงานของเขาคือเวลาที่ไม่เคยพอ เนื่องจากเฉลี่ยต่อเรื่องใช้เวลาทำงานประมาณ 15-30 วัน และมีบางเดือนที่เขาต้องถ่ายหนังถึง 14 เรื่อง

อย่างไรก็ดีตัวละครในภาพยนตร์โฆษณาของธนญชัยมักได้รับคำวิจารณ์ว่า หน้าตาไม่ดี ไม่เข้ากับตัวสินค้า ทำให้ภาพลักษณ์ของสินค้าเสีย ทำให้บ่อยครั้งที่ธนญชัยต้องมีปัญหากับเจ้าของผลิตภัณฑ์ ผู้ซึ่งยึดติดกับค่านิยมในการทำโฆษณาแบบเดิมๆ และความเชื่อที่ว่า คนเราอยากดูแต่สิ่งที่ดีกว่า สิ่งที่ตัวเองอยากจะเป็น แต่ธนญชัยกลับไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีดังกล่าว ?ผมทำงานเอาใจผู้บริโภคที่จะมาซื้อสินค้า เจ้าของผลิตภัณฑ์อยากขายสินค้าได้ใช่มั้ย อยู่เฉยๆ แล้วเดี๋ยวผมจะทำให้ขายสินค้าได้มากขึ้นเอง? ธนญชัยยังกล่าวอีกว่า ตัวเขาโชคดีที่ได้ทำงานกับเจ้าของสินค้าที่เปิดใจกว้าง รวมถึงทีมงานและเอเจนซี่โฆษณาที่มีส่วนทำให้โฆษณาของเขาประสบความสำเร็จ

ภาพยนตร์โฆษณาชุด ?เลิกเหล้า เลิกจน? ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) เป็นอีกหนึ่งผลงานที่ธนญชัยภาคภูมิใจ ถึงแม้จะมีกระแสต่อต้านจากบางกลุ่มกับประโยคยอดฮิต?จน เครียด กินเหล้า? ว่าเหมือนจะส่งเสริมให้คนไปกินเหล้ากันมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังได้รับกระแสตอบรับที่ดี เรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์โฆษณาที่ผู้คนจดจำและพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง ธนญชัยเชื่อว่า?การสร้างสิ่งใหม่มาพร้อมกับความเสี่ยงเสมอ การละลายความเสี่ยง ตรงนี้ก็คือการเข้าใจผู้บริโภค?


Power of love



ไม่มีคำบรรยาย.

Forrest Gump




เนื้อเรื่องสั้น Forrest Gump ฟอร์เรสท์ กัมพ์ อัจฉริยะปัญญานิ่ม
"Lift is like a box of chocolates... You never know what you're gonna get"
เป็นคำพูดข้างต้นจาก Forrest Gump กลายเป็นอมตะทันทีเช่นเดียวกับตัวภาพยนตร์และเป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้คนนับล้านทั่วโลก
ในช่วงสามทศวรรษที่มีแต่ความโกลาหล ฟอร์เรสท์ (ทอม แฮงค์) ได้ดำเนินชีวิตผ่านกระแสช่วงต่างๆของชีวิต และได้ผันเขาจากคนที่มีร่างกายพิการไปเป็นดาราอเมริกันฟุตบอล จากวีรบุรุษในสงครามเวียดนามก็กลายเป็นเศรษฐีธุรกิจเรือกุ้ง จากเกียรติทำเนียบขาวไปสู่อ้อมกอดของผู้ที่เขามีใจรักจริง ฟอร์เรสท์คือลักษณะรูปธรรมแห่งยุค คือความไร้เดียงสาในดินแดนอเมริกา จิตใจของเขาตระหนักต่อสิ่งที่ไอคิวอันจำกัดของตัวเองไม่อำนวย ขอบข่ายศิลธรรมของเขาไม่เคยคลอนแคลน ชัยชนะทั้งหลายของเขากลายเป็นแรงบันดาลใจแก่เราทุกคน" หนังเรื่องนี้ดีจริงๆ ถ้าใครยังไม่เคยดูหรือดูแล้วก็กลับมาดูอีกได้นิกับเรื่อง Forrest Gump ฟอร์เรสท์ กัมพ์ อัจฉริยะปัญญานิ่ม เน้อ...
ดีกรีรางวัลก็แทบไม่ต้องพูดถึงล่ะครับ คว้าไป 6 ตัวรวมทั้งภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปีด้วย กับเรื่องราวของนายฟอร์เรสต์ กัมพ์ (Tom Hanks) ชายหนุ่มผู้ใสซื่อ มีชีวิตดั่งขนนกที่ลอยตามลมครับ ลมพัดไปทางไหน เขาก็ไปทางนั้น นั่นทำให้ชีวิตของเขาได้เจอกับอะไรที่หลากหลายเอามากๆ ได้เจอกับบุคคลสำคัญหลายราย ได้พบกับเหตุการณ์มากมาย และนั่นก็ทำให้หนังเรื่องนี้ น่าติดตามไปตลอด 140 นาทีเลยทีเดียว

หนังดีครับ ยังไงก็ต้องดูอีกเรื่องนึงแล้ว น่าติดตามและให้แง่คิดเยอะดีทีเดียว ดูเอาเพลินก็ได้ครับ เพราะหนังทำได้สนุกอีกต่างหาก เป็นผลงานของผู้กำกับ Robert Zemeckis แห่ง Back To The Future ทั้ง 3 ภาคนั่นแหละ พี่แกก็เก่งเหลือเกินจริงๆ ดนตรีของ Alan Silvestri ก็ไม่ต้องพูดถึงครับ เพราะไพเราะถึงขนาดโดนละครไทยเวียนเอามาใช้จนปัจจุบันก็ยังไม่เลิกเลย ให้อารมณ์ทั้งซึ้งและอบอุ่น งดงามและสดใส เหมือนตัวของฟอร์เรสต์นั่นแหละครับ 

พี่ Tom แกไม่น่าจะใช่มนุษย์ครับ แสดงได้ดีอะไรจะปานนั้นครับ ได้ออสการ์ก็สมควรแล้วพี่ แล้วยังมีพี่ Gary Sinise อีก (คู่นี้เล่นเรื่องไหนล่ะเป็นได้บ้าทุกทีซีเอ้า) หนังได้ทีมดาราที่สุดยอด ได้ผู้กำกับที่รู้งานว่าควรผ่อนตรงไหนและควรรุกตรงไหน หนังมีแง่คิดหลากหลายและน่าติดตามแบบสุดๆ และจังหวะการเดินเรื่องก็สุดจะลื่นไหลครับ มีทั้งอารมณ์ดราม่าและเรื่องฮาๆ มาผสมกันอย่างลงตัว และที่เด่นมากๆ ในหนัง คืองาน Effect ที่ฮือฮามากในยุคนั้น โดยการที่ทีมงานสามารถใช้ CGI สร้างภาพคนที่เสียชีวิตไปแล้วขึ้นมาโลดแล่นบทแผ่นฟิล์ม ไม่ว่าจะเป็นจอห์น เลนนอน หรือ ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดี้

และประวัติการสร้างหนังเรื่องนี้ก็เข้มข้นไม่ใช่น้อยครับ เรื่องเริ่มเมื่อประมาณปี 1985 Wendy Finerman ผู้อำนายการสร้างหญิงผู้นี้ได้ไปอ่านนิยายของ Winston Groom เรื่องนี้เข้าแล้วถูกใจครับ เลยจัดแจงขอซื้อโดย Finerman ได้เกลี้ยกล่อมรองประธานของบริษัท Warner Bros. ให้ซื้อเรื่องนี้มาด้วยสนนราคาเกือบ 4 แสนดอลล่าร์ แล้วก็เริ่มมีการวางตัวนักแสดงกันขึ้น โดยทั้ง Groom และ Finerman ต่างก็ช่วยกันเลือกดาราที่เหมาะกับบทกัมพ์ ดาราเหล่านั้นก็มี Dustin Hoffman, John Goodman, Nick Nolte, Bill Murray, Michael Keaton และ Robin Williams แต่ปรากฏว่าดาราที่พวกเขาหมายตาแต่ละคนต่างก็ไม่สนใจบทนี้เลย (เพราะบทนี้เป็นเรื่องของคนปัญญาอ่อนน่ะครับ แล้วดูท่าว่าจะไม่มีใครอยากแสดงบททำนองนี้เลย) ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่ผู้กำกับอย่าง Penny Marshall หรือ Martin Brest (แห่ง Scent of A Woman) ก็ยังเซย์โนให้กับหนังเรื่องนี้ 

และถ้าจำไม่ผิด แม้แต่พี่ Robert Zemeckis เองก็เถอะ ยังไม่สนที่จะทำหนังเรื่องนี้เลยด้วย

โครงการจะทำหนังเรื่องนี้ก็เริ่มจะมืดมนมากขึ้น เพราะดูท่าว่าจะไม่มีใครสนใจจะทำเลย และเหล่าผู้บริหารของ Warner ที่เคยสนับสนุน Finerman ก็โดนเปลี่ยนออกไปซะหลายราย จนในที่สุดเธอจึงตัดสินใจเอาโครงการหนัง Forrest Gump ไปเสนอกับค่ายดาวภูเขา Paramount Pictures ซึ่งผู้บริหารของค่ายนี้พออ่านบทปุ๊บก็สนใจทันที แล้วก็จัดแจงเปิดการเจรจาทางการค้ากับค่าย Warner โดยจะขอซื้อสิทธิ์หนังเรื่องนี้มาเป็นของค่าย Paramount แต่ทาง Warner ก็เล่นตัวครับเรียกเงินตั้งเป็นล้านแน่ะ ทำให้ทางค่ายดาวภูเขาก็ชักจะอยากถอนสมอกลับเหมือนกัน 

แต่แล้วทางดาวภูเขาก็เปลี่ยนกลยุทธใหม่ครับ จากการซื้อขายก็กลายมาเป็นแลกเปลี่ยนแทน โดย Paramount ได้เสนอแลก Executive Decision กับเรื่อง Forrest Gump ซึ่งทาง Warner นั้นอยากได้หนังเรื่อง Executive Decision มาทำนานแล้วครับ (อยากได้โคตรๆ อ้ะ แต่สิทธิ์เรื่องนี้ดันไปอยู่ที่ Paramount ซะก่อน) ดังนั้นเมื่อการแลกเปลี่ยนลงตัว ผลก็เลยลงเอยครับ ในที่สุดหนัง Gump ก็มาเป็นของดาวภูเขาจนได้

แล้วหนังเรื่องนี้ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างจะสร้างซะที โดยได้ Barry Sonnenfeld ผู้กำกับ The Addams Family (และ MIB ในเวลาต่อมา) มานั่งแท่นและ Tom Hank มารับบทนำ แต่แล้วซักพักนึง Sonnenfeld ก็เกิดเปลี่ยนใจเมื่อทางผู้สร้างหนัง Addams Family เกิดอยากสร้างภาคสอง เลยตามตัวพี่แกกลับไปทำหน้าที่กำกับดังเดิม โดยเสนอเงินเพิ่มให้อีกด้วย ทำให้ Sonnenfeld ต้องออกจากโปรเจคท์นี้ไปในที่สุด (จริงๆ พี่แกก็อยากกำกับต่อครับ เลยขอให ้Finerman เลื่อนกำหนดเปิดกล้อง Gump ไปก่อนได้หรือไม่ และเเจ๊แกก็ตอบว่าไม่ครับ (เพราะเธอสู้และรอการสร้างหนังเรื่องนี้มาจะสิบปีแล้วอ้ะ)

แล้วตอนที่ Finerman ทำท่าจะหมดหวังอีกครั้งกับโปรเจคท์นี้ เธอก็ได้เจอกับ Robert Zemeckis อีกครั้ง และในครั้งนี้นี่แหละ ที่เขาตัดสินใจกำกับหนังเรื่องนี้จนได้ และหนังก็เปิดกล้องจนถ่ายทำสำเร็จเสร็จลุล่วง ด้วยทุนสร้างประมาณ 55 ล้านเหรียญ แต่รายได้ที่คืนมานั้นก็ประมาณ 673.8 ล้านเหรียญ แล้วยังมีรายได้จากการเช่าตอนออกเป็น VDO อีกกว่า 150 ล้านเหรียญ 

เฮ่อ กว่าหนังซักเรื่องจะได้เป็นอย่างที่มันเป็น ได้เป็นหนังซัก 2 ชั่วโมงหน่อยๆ ให้เรานั่งดูเนี่ย มันไม่ง่ายเลยจริงๆ ครับ

ไม่ดูจะเสียดายนะครับ

28 ข้อคิดในการใช้ชีวิต



เป็นข้อคิดที่เก็บไว้เมื่อนานมาแล้ว แต่เมื่อเอามาอ่านอีกทีก็พบว่ายังเป็นเรื่องที่ดีมากๆที่ควรแบ่งปันให้รับรู้โดยทั่วกัน 
1.อย่าทำลายความหวังของใคร เพราะทั้งชีวิตเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้นก็ได้
2.เมื่อมีคนเล่าว่าเขามีส่วนร่วมในเหตุการณ์สำคัญ จง เป็นผู้ฟังที่ดีอย่าไปคุยทับ อย่าไปขัดคอ
3.จงตั้งใจฟังให้ดี โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่วๆเท่านั้น
4.หยุดอ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ตามทางบ้างเพราะมีอะไรดีๆบางอย่างซ่อนอยู่
5.จะคิดทำการใดจงคิดการให้ใหญ่เข้าไว้ แต่ให้เติมความสนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย
6.หัดทำสิ่งดีๆให้กับผู้อื่นจนเป็นนิสัยโดยไม่จำเป็นต้องให้เขารับรู้
7.จงจำไว้ว่า ข่าวทุกชนิดล้วนถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น
8.เวลาเล่นเกมกับเด็กๆก็ปล่อยให้เด็กชนะไปเถอะ
9.ใครจะวิจารณ์เรายังงัยก็ตาม อย่าเสียเวลาไปโต้ตอบ แต่ให้ปรับปรุงตนเอง
10.จงให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ “สอง” แต่อย่าให้ถึง “สาม”
11.อย่าให้วิจารณ์นายจ้าง ถ้าทำงานไม่มีความสุขก็ลาออกดีกว่า
12.ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้วอะไรๆ มันก็ไม่สำคัญอย่างที่คิดไว้แต่แรกหรอก
13.ใช้เวลาให้น้อยๆในการคิดว่า”ใครผิด” แต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า”อะไร” เป็นสิ่งที่ผิด
14.จงจำไว้ว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับ ” คนโหดร้าย ” แต่กำลังสู้กับ ” ความโหดร้าย ” ในตัวคน
15.โปรดคิด คิด คิด และคิดให้รอบคอบ ก่อนที่จะให้เพื่อนเรามีภาระในการเก็บรักษาความลับ
16.ยอมที่จะแพ้ในสงครามย่อยๆ เมื่อการแพ้นั้นจะทำให้เราชนะในสงครามใหญ่
17.เป็นคนถ่อมตน จำไว้ว่าคนอื่นทำอะไรต่อมิอะไรสำเร็จกันมามากมายก่อนเราเกิดเสียอีก
18.ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายสักเพียงใด จงสุขุมเยือกเย็นเข้าไว้
19.มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ
20.อย่าให้ปัญหาของเราทำให้คนอื่นต้องเบื่อหน่าย ถ้ามีใครมาถามว่า ” เป็นไง?” ตอบไปเลยว่า ” สบายมาก”
21.อย่าพูดว่าเรามีเวลาไม่พอ เพราะทุกคนในโลกก็มีเวลาวันละ 24 ชม.เท่ากัน
22.จงเป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยว เมื่อเหลียวไปดูอดีต เราจะเสียใจในสิ่งที่ควรทำแล้วไม่ได้ทำ มากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว
23.ประเมินตนเองด้วยมาตรฐานตนเอง ไม่ใช่มาตรฐานคนอื่น
24.จริงจัง และเคี่ยวเข็ญต่อตนเองให้มาก แต่จงอ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น
25.ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพโดยสุจริต ไม่ว่างานนั้นจะดูแย่แค่ไหนในสายตาคนรอบข้าง
26.คำนึงถึงการมีชีวิตให้ ” กว้างขวาง ” มากกว่าการมีชีวิตเพื่อ ” ยืนยาว ”
27.(บางครั้ง) อย่าไปหวังเลยว่าในชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม
28.ว่ากันว่ามี 3 สิ่งที่ไม่ควรถูกทำให้แตกหรือทำลาย ได้แก่ ของเล่นเด็ก คำสัญญาและจิตใจของใครๆ ก็ตาม